บทคัดย่อ
แผลเป็น เกิดขึ้นหลังจากการรักษาแผลที่เกิดจากการฉีกขาดของผิวหนัง จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่นูนหรือแบนราบ สีแตกต่างจากสีผิวหรือกลมกลืนกัน ขึ้นอยู่กับขนาดและความลึกของแผล และขั้นตอนในการดูแลให้แผลหาย ซึ่งกระบวนการสมานแผลของร่างกายจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ระยะการอักเสบ (inflammatory phase) 2) ระยะการสร้างเนื้อเยื่อ (proliferative phase) และ 3) ระยะหลังแผลปิดสนิทและปรับโครงสร้าง (maturation and remodeling phase) หลังจากแผลปิดสนิทในระยะที่ 2 จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเกิดแผลเป็นที่ยังไม่สมบูรณ์คงที่ (immature) จะมีลักษณะนูน เป็นสีแดง และอาจมีอาการ คัน หรือ ปวด และจะพัฒนาปรับตัวให้กลมกลืนกับผิวหนังรอบๆ ตามธรรมชาติ โดยใช้เวลานาน 3 เดือน ถึง 2 ปี จึงจะเปลี่ยนไปเป็นแผลที่คงที่แล้ว (mature) ซึ่งจะมีลักษณะแบนราบ และสีจางลง
แผลเป็นมี 2 ชนิด ได้แก่ hypertrophic scar และ keloid ซึ่งทั้งสองชนิดมีลักษณะนูนแดงเหมือนกัน แต่ hypertrophic scar มีขอบเขตของแผลเป็นใกล้เคียงหรือเท่ากับรอยเดิมของแผล และอาจมีอาการคัน ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังแผลหาย และเมื่อทิ้งไว้อาจจะยุบแบนราบลงได้เอง ภายในระยะเวลา 12-24 เดือน ซึ่งแตกต่างจาก keloid ซึ่งเป็นแผลเป็นที่มีขอบเขตของแผลขยายกว้างกว่ารอยเดิมของแผล อาจมีอาการคันและเจ็บร่วมด้วย และจะเกิดขึ้นหลังแผลหายแล้วตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป และเมื่อทิ้งไว้ จะคงอยู่ ไม่ยุบแบนราบลงได้เอง และยิ่งไปกว่านั้นบางรายอาจมีขนาดโตขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ในร้านยาหรือสถานบริการปฐมภูมิสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์และวิธีการดูแลแผลเป็น ได้แก่ 1) การใช้แผ่นซิลิโคน 2) การใช้ซิลิโคนเจล 2) ผ้าเทปปิดแผล 3) การนวดแผลด้วยครีมบำรุงผิว 4) ยาบางชนิด ซึ่งควรใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน เป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงจะได้ผลดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น แต่หากใช้ไปสักระยะหนึ่งแล้วไม่ได้ผล จึงควรแนะนำไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป